วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้อคิดการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน

ข้อคิดการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน

ข้อคิดการปฏิบัติธรรมบ้านพุฒมณฑา ที่ อ.เขาช่อง จ.นครราชสีมา
7-12 ตุลาคม 2556
หัวข้อ : วิปัสสนากรรมฐาน ปฏิบัติเข้มหวังผลความก้าวหน้า รุ่น2
วิทยากร : พระอาจารย์สุรศักดิ์ วัดมหาธาตุ กทม.

***ได้มีเวลามาพิจารณาทบทวนตัวเองในบรรยากาศท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ทีอากาศเย็นสบาย มีอากาศบริสุทธิ์เป็นอันดับ 7 ของโลก***








***คติธรรมจากพุทธาส***
   เปิด-เปิด
   เปิด-เปิด ตา    เพื่อให้รับแสงแห่งพระธรรม
   เปิด-เปิด หู      เพื่อให้ได้ยินเสียงแห่งสำเนียงธรรม
   เปิด-เปิด ปาก   เพื่อให้สนทนาพูดจาธรรม

   ปิด-ปิด
   ปิด-ปิด ตา       อย่าสอดใส่ให้เกินเหตุ
   ปิด-ปิด หู         อย่าให้แส่ ไปฟังเรื่อง ที่เป็นเครื่องกวนใจ
   ปิด-ปิด ปาก      อย่าพูดมาก เกินความจำเป็น

***ข้อคิดเตือนใจภายในบ้านพุฒมณฑา :
ปิดวาจา งดพูด เพื่อภาวนา
ตัวกูไม่ใช่ของกู
อย่ายึดมั่น ถือมั่น
ศีล สมาธิ ปัญญา
ทาน ศีล ภาวนา
ภาวนามยปัญญา
สติมา ปัญญาเกิด
ทุกข์สุข อยู่ที่ใจ
ไม่เที่ยงหนอ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ดูจิตเรา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ปล่อยวาง
เกิด ดับ
ดูลมหายใจ
ฉันมาทำอะไร
เจ้านายคือตัณหา สมุหทัย
ตามตัณหาไม่เกิดทุกข์ แต่ถ้าขัดใจตัณหาเกิดทุกข์
ประตูสู่ธรรม
ได้พรม อย่าลืมเสื่อ ได้เสื้อ อย่าลืมใส่ ได้เป็นใหญ่ อย่าลืมตัว

***การเดินจงกรม***
การเดินจงกรมเป็นการเจริญแบบมีสติระลึกได้แบบยุบหนอ...พองหนอ...
เดินจงกรม  มี 6 แบบ
การเดินจงกรม 1 ชุดมี 6 แบบ
แบบที่1 ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
แบบที่2 ยกหนอ เหยียบหนอ
แบบที่3 ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
แบบที่4 ยกส้นเท้าหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
แบบที่5 ยกส้นเท้าหนอ ยกหนอ เหยียดหนอ ลงหนอ ถูกหนอ
แบบที่6 ยกส้นเท้าหนอ ยกหนอ เหยียดหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ
ข้อความที่ใช้ประกอบการเดินจงกรมที่ใช้บ่อยมีดังนี้
ยืนหนอ... ยืนหนอ... ยืนหนอ...(พูดยืนหนอ 3 ครั้ง ท้ายคำว่าหนอทุกครั้งต้องลากเสียงยาว)
อยากเดินหนอ... อยากเดินหนอ... อยากเดินหนอ...
อยากกลับหนอ... อยากกลับหนอ... อยากกลับหนอ...
กลับหนอมี 6 จังหวะ กลับหนอ... กลับหนอ... กลับหนอ... กลับหนอ...
กลับหนอ ...กลับหนอ...
พองหนอ...หาจใจเข้าไปที่ท้องยาวๆ
ยุบหนอ...หายใจออกจากท้องไม่ใช่ที่ปอดออกมายาวๆ
คำที่ใช้กำกับสติให้ระลึกได้อยู่เสมอ จะใช้คำลงท้ายด้วยหนอ เช่น
ตักหนา... กินหนอ... อมหนอ... เคี้ยวหนอ... กลืนหนอ ดื่มหนอ...
อาการการเดิน มือทั้งสองไขว่หน้าด้วยอาการสำรวม โดยใช้สายตามองไปข้างหน้าไม่เกิน 2 เมตร
อาการกิน ให้อมและวางช้อนก่อนที่จะเคี้ยว และหลับตาพิจารณาการเคี้ยว เคี้ยวหนอ... ประมาณ 25-30 ครั้ง

***ข้อมูลท่ีเก็บได้จากการปฏิบัติยุบหนอ พองหนอ***
กัมมฐานแบ่งเป็น สมถวิปัสนา  กับวิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนา กับสมาธิ แตกต่างกันคือ
วิปัสสนากรรมฐานจะใช้สติกำกับรับรู้ในสิ่งต่างที่ที่เกิดขึ้นอย่างเผินๆไม่ลงลึก
โดยจะทำการแยกรูป(ร่างกาย) แยกนาม(จิตใจ)ออกจากกันให้ชัดเจน
เป็นขณิกะสมาธิ แบบสมาธิไม่ลึก ไม่ตามไปดูลึกๆเหมือนสมาธิสัมมาอาระหัง
สมาธิเป็นการทำจิตให้นิ่งแบบลงลึก แบบสมาธิสัมมาอาระหัง
ใจ รับสัญญาณ ทีเป็นอารมณ์ บอกการเจ็บป่วยและส่งไปที่สัญญาความจำในอดีตว่าเป็นอะไร และสังให้ทำตาม
ใจเป็นเพียงตัวรู้
กายเป็นตัวเจ็บเท่านั้น มีดบาดก็เจ็บตรงนั้นไม่มาที่ใจ ร่างกายปวดเมื่อย ที่รูปที่กายเท่านั้น ไม่มาที่ใจ เป็นการแยกรูป แยกนามออกจากกัน
เวทนานุปัสนา กายยานุปัสนา เห็นอริยสัจ 4
สติปัฐฐาน4 เข้าถึงอริยสัจ 4 เห็นรูป นาม เวทนาดับ
ทุกขเวทนาดับในสมาธิให้ไ้ด้ ใช้เวลา 1.30 หรือ 2 ชั่วโมง
วิปัสสนากรรมฐานมีทั้งหมด 16 ญาน ญาณที่ 3 ใช้เวลา 2 เดือนอาสวขยักญาณ แยกรูปนามใด้อย่างชัดเจน
ญาณรูปที่ 1-3 เห็นพระไตรลักษณ์อย่างชัดเจน
เห็นการดับไปอย่างชัดเจน คุ้มเข้มๆ 2 ชั่วโมง
สนองตัณหากิเลส
ให้สติตื่นรู้
กิเลสสั่ง เพลอสร้างกรรมใหม่ ต้องให้สติสั่ง สติตามรู้
กินข้าวแบบสติปัฐฐานโดนใช้สติรับรู้ทุกขณะที่กินอาหาร
เราฝึกสติยังไม่ได้ฝึกสมาธิ สติได้สมาธิจะมาเอง
สติตื่นอยู่ รับรู้ในสิ่งที่ขณะทำ
สงบ นิ่ง เฉย แยกรูป แยกนาม
จิตเข้มแข็ง ทำให้เวทนาดับได้

***การใช้วิปัสสนากรรมฐานรักษาโรคต่างๆ
    1) รักษาโรคต่างๆที่เล็กน้อยจะหายไปเอง
    2) รักษาโรคมะเร็ง ใช้เวลา 3-6 เดือน นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เช้า กลางวัน เย็น จะหายไปเอง
    3) ผู้หญิงอายุ 65 ปี เป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ความดัน เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด เก้าส์ รักษาจากแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์ได้ให้ยามากินเป็นกำๆจำนวนมากในการรักษาโรคดังกล่าว และต้องผ่าตัดกระดูกสันหลัง มีความศรัทธาเชื่อมั่นในธรรมโอสถสามารถรักษาโรคได้ จึงหันมารักษาโดยใช้วิปัสสนากรรมฐาน สามารถระเบิดทุกขเวทนากรรมของตนเองออกจากร่างกายได้ และโรคต่างท่ีเคยเป็นอยู่ก็หายไป ไปพบแพทย์ตรวจก็ไม่พบโรคดังกล่าวที่เคยเป็น(พบผู้ป่วย สัมภาษด้วยตนเอง และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานร่วมกัน)

การกระทำร่างกายคือกิเลส ตัณหา
เห็นอารมณ์พระนิพพาน
ทุกข์เวทนาดับ ในญาณที่ 3 เป็นพระโสดาบัน
เส้นทางโสดาบัน รู้จักประหารกิเลส
พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นฤษีขันติดาบส โดยนางสนมของพระราชา 499 คนในจำนวน 500 คน ขณะที่พระราชาหลับได้หนีพระราชาออกมานอกวัง ขับร้องให้ความบันเทิงกับฤษีขันติดาบส พระราชารู้ทรงพิโรธ และได้ให้ทหาร ตัดข้อเท้า ฤษีขันติดาบส ต้องอดทน อดกลั้น แล้วตัดข้อมืออีก และใช้ทุกขเวทนาในสมาธิ ตัดจมูก ตัดหู และฤษีขันติดาบสก็ตาย ขณะเดียวกันพระราชาก็ถูกพระธรณีสูบตายตามด้วย
ทุกขเวทนาไม่เที่ยงจะดับในวิปัสสนากรรมฐานได้
นั่งวิปัสสนากรรมฐาน แบบนังสมาธิชั้นเดียว หรือนังขัดสมาธิ 2 ชั้น จะเกิดทุกขเวทนาขณะที่นั่ว จะมีอาการเจ็บ หรือปวดที่ขา จะต้องไม่ให้อารมณ์ ส่งไปที่ใจ
แต่ให้ใช้การสังเกตเห็นได้คือการมีสติ
คนหลับไม่รับรู้อะไรเหมือนการนั่งสมาธิ
เวชนาวิปัสสนาเห็นมรรคมีองค์ 8

***สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
สติปัฐฐาน 4 กายานุปัสสนา  เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมมานุปัสสนา

โทสะ ตัณหา แยกรูป แยกนาม
ทุกขเวทนา การที่ไม่ดับคือการยึดมั่นถือมั่น

***พระไตรลักษณ์ มีเกิด มีดับ
ไตรลักษณ์ อนิจจัง(ความไม่ยังยืน) ทุกขัง(เกิดมามีทุกข์) อนัตตา(ไม่มีตัวตน)
ไตรลักษณ์ แปลว่า "ลักษณะ ๓ อย่าง" คือธรรมนิกาย หมายถึงสามัญลักษณะ  คือกฎธรรมดาหรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขารหรือลักษณะที่สิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ๓ อย่าง ได้แก่
1. อนิจจตา (อนิจจัง) - ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป
 2. ทุกขตา (ทุกขัง) - ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว ภาวะที่กดดัน ฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ภาวะที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว
 3. อนัตตตา (อนัตตา) - ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร




ตัณหาเนียนมาก
กิเลส ตัณหา โทสะ
แยก รูป แยกนาม
นาม คติ จิต
รูป ร่างกาย
นั่งวิปัสสนากรรมฐานควรนั่ง เช้า 1 ชม.  เย็น 1 ชม.
วันที่ 9 ตุลาคม 2556 นั่งได้ 2 ชั่วโมงโดยไม่เปลี่ยนท่า ได้ 2 บัลลังก์(นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เวลาบ่าย และตอนกลางคืน) สามารถทนทุกขเวทนาได้ เวทนาดับในสมาธิได้
สัมมาอาระหัง นั่งขัดสมาธิ 2 ชั้น
ยุบหนอ พองหนอ วิปัสสนากรรมฐาน นั่งสมาธิชั้นเดียวหลวมๆ จะได้ไม่ทุกขเวทนามาก
เจริญสติ ก็คือ ทำให้ครอบคลุมทั้งหมดในกิจวัตรประจำวันของเราคือ นั่ง นอน กิน เดิน ทำงาน อาบน้ำ
สติปัฐฐาน 4 แยก รูป แยกนาม ออกจากกัน กายเจ็บ(รูป) ใจ(นาม)ไม่เศร้าตามกาย
กายเจ็บอย่าให้ส่งสัญญาณเป็นอารมณ์มาที่ใจให้รับรู้ และส่งต่อไปที่สัญญาคือความจำในอดีตที่บงบอกให้รู้ว่าคืออะไร
ต้องมีสติแล้วรู้ว่ามันต้องเกิดอย่างนี้ อย่าไปงุดงิดมัน อย่าไปโมโห มีโทษะกับมัน
บอกว่าปวดหนอ ไปเรื่อยๆ ลืมจะหายไปเอง
หลักการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ต้องขยัน อดทน จึงจะสำเร็จบรรลุญาณ
คนเราเกิดมาท่ามกลางแห่งความทุกข์ เปรียบเหมือนอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ ไม่เห็นฝั่ง
ทุกข์เวทนาดับแล้วกลับมาอีก
กรรมเป็นทุกข์เวทนา
ทุกขเวทนาเปลี่ยนท่าเป็นตัณหาเพื่อคลายทุกขเวทนา
นึกถึงจดจ่อเป็นสมาธิหายใจเข้าออก บางคนคลำท้อง นึกถึงท้องหรือคลำท้อง การพองยุบ หรือจะเปลี่ยนคาพูดใหม่ก็ได้โดยใช้กุศโลบายของตนเองเพื่อให้เกิดสติได้งายขึ้น
วิธียุบหนอ พองหนอง่ายกว่าวิธีอณาปานสติในการดูอารมณ์เข้าออก
กินข้าวมีสติก็ได้บุญ เป็นการพิจารณาอาหารอย่างมีสติ
กิเลส โทสะจริต โมหะ
ทุกขเวทนา เป็นกรรมที่เกิดขึ้น
ต้องหาอุบายตัวเอง
โทสะหงุดหงิด
ถ้าสามารถทำให้เวทนาดับ โดยเวทนาอาการปวดเจ็บจะระบิดออกมาไม่ปวด เจ็บ ก็จะทำให้บรรลุโสดาบัน
เมื่อเกิดทุกขเวทนาตรงใหน ก็ให้แผ่เมตตให้เจ้ากรรม นายเวร ที่ทำให้เกิดอาการนั้น ก็จะหายไปเอง
สติต้องแข็งแรง ต่อสู้ได้ จึงจะบรรลุไปแต่ละญาณได้ในทั้งหมด 16 ญาณ
ทุกขสัตว์ กำนดรู้
หลวงพ่อจรัญใช้วิธี ยุบหนอ พองหนอ โดยเดินจงกรม 1 ชั่วโมง นั่ง
หลักการต้องเอาจริงเอาจัง ตื้อและทน
ทำตามความสามรถที่เราทำได้
ทุกขเวทนาเป็นอารมณ์
กำหนดรู้แล้วปล่อยวาง เฉยๆ
ตัณหากลัวตาย
ข้าวต้ม ตัณหา
สติต้องอยูกับปัจจุบัน อดีตและอนาคตไม่ใช่สติ
อยากกินคือตัณหา
เจริญสติทุกวัน
เวทนาหนักมาก
กำหนดรู้
ควบคุมตัณหาการกิน กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน กินช้าๆจะเบื่ออาหารเองลดความอ้วน
นั่ง 2,3 และ4ชั่วโมง
นั่งกัมมัฐฐานอย่ากินน้ำมาก
หายใจลึกๆ ทำการไช้เส้นเลือดเล็กๆืที่ตันจากการหายใจปกติสั้นๆให้ทลุเลือดเดินสะดวก
เจริญอริยมรรค
ยืนวิปัสสนากรรมฐาน สามารถแก้ปัญหาการนั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้วหลับในขณทำวิปัสสนากรรมฐาน ยืนไปสักระยะจะเกิดอาการปวดที่เท้าและขา เปลี่ยนอริยาบส ทำให้อาการปวดหายไป




                                                               นั่งวิปัสสนากัมมัฐฐาน




                                                          เดินจงกรมเพื่อเจริญสติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น