วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตหลังความตาย วันที่คนตาบอด มองเห็นวิญญาณ (1 กันยายน 2558)


วันที่คนตาบอด มองเห็นวิญญาณ

mystery of life คนตาบอด142รวม

ต้นไม้เป็นสีเขียว ก้อนเมฆเป็นสีขาว ท้องทะเลเป็นสีคราม แม้แต่รุ้งก็มีเจ็ดสี… หากลองถามเด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่คงตอบได้แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน

แม้จะรู้ว่าต้นไม้มีสีเขียว แต่ก็เป็นสีเขียวที่คนอื่นเล่าให้ฟัง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีเขียวเป็นอย่างไร ตั้งแต่เกิดมาฉันมองเห็นแต่เพียงสีดำเท่านั้น นานมาแล้วแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ฉันเกิดมามีอวัยวะครบ 32 แต่โชคร้ายที่ต้องตาบอด เพราะออกซิเจนในตู้อบเด็กมีปริมาณมากเกินไป ดังนั้นจะพูดว่าฉันตาบอดมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ผิดนัก มันคงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก ถ้าวันหนึ่งคน “ตาบอด” อย่างฉันจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้

ฉันชื่อ วิกกี้ อัมมิเปจ (Vicki Umipeg) อายุ 45 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้จักโลกใบนี้ผ่านการบอกเล่าของคนอื่น ฉันจึงได้แต่จินตนาการถึงลักษณะและสีสันของสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นเช่นไร มันจะแตกต่างจาก “สีดำ” มืดมิดของฉันหรือไม่

จนวันนั้นมาถึง วันที่ฉันคิดว่าฉันมองเห็นภาพเป็นครั้งแรก มันคือสีสันแปลกใหม่ ที่ทั้งชีวิตของฉันไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน…

มันคือภาพของห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผนังห้องทาด้วยสีขาว มีผู้คนแปลกหน้ามากมายอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวทั้งตัว กำลังยืนล้อมรอบร่างหญิงคนหนึ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ความรู้สึกแรกที่เห็นสร้างความตกใจให้กับฉัน ฉันจ้องมองร่างที่นอนอยู่ตรงนั้นสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยอันน่าประหลาด… ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือตัวฉันเอง

ฉันจำแหวนทองที่ใส่บนนิ้วนางนั้นได้ มันมีดอกส้มที่มุมของแหวนวงนั้นด้วย แต่น่าแปลกตรงภาพที่เห็นนั้นเหมือนฉันกำลังมองลงมาจากด้านบน

ที่แท้มันคือภาพมุมสูง และฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนเพดานห้อง!!!

ถ้าร่างที่นอนอยู่ตรงนั้นคือตัวฉัน แล้วฉันที่กำลังลอยอยู่ตรงนี้ล่ะคือใคร หรือว่านี่คือวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ฉันตายแล้วอย่างนั้นหรือ!!!

เพียงชั่วแวบเดียว ความทรงจำก่อนหน้านี้ก็ไหลกลับเข้ามาในหัว ฉันระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ฉันควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง และบรรดาคนแปลกหน้าที่ฉันเห็นก็คงเป็นหมอและพยาบาล พวกเขากำลังให้การรักษาฉันอยู่กระมัง

ขณะที่กำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้น ฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณของตัวเองถูกดูดให้ลอยขึ้นสูงเหนือโรงพยาบาล มีเสียงระฆังสดใสดังมาจากทั่วทุกทิศทาง แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนหายเข้าไปในหลุมดำมืดมิด ภายในนั้นฉันมองไม่เห็นอะไร เป็นความมืดที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี พอเข้ามาในนี้ตัวของฉันก็ยังคงลอยสูงขึ้นไป ๆ จนพบเจอกับแสงสว่างเล็ก ๆ ตรงหน้า ฉันคิดว่าที่นั่นคงเป็นจุดหมาย เพราะฉันกำลังลอยเข้าไปหามัน

พอได้เข้าไปอยู่ในแสงสว่างนั้น ฉันกลับรู้สึกตัวว่ากำลังนอนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง มีแสงสว่างอยู่ในทุก ๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนส่องสว่าง เป็นแสงสว่างที่สัมผัสได้ถึงความรัก

ที่นี่มีทั้งสัตว์และผู้คนมากมาย ฉันได้เจอคนรู้จักของฉันที่นี่ด้วย พวกเขากำลังยืนต้อนรับฉันอยู่ มีทั้งเพื่อน คุณป้า พี่เลี้ยง คุณยาย ซึ่งพวกเขาล้วนตายไปแล้วทั้งสิ้น ฉันรู้สึกยินดีที่ได้พบพวกเขาอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะพูดอะไร ฉันก็มองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าจากอีกจุดหนึ่ง มันเป็นแสงที่ส่องสว่างมากกว่าสิ่งใด ฉันตระหนักได้โดยทันทีว่านั่นคือ “พระเจ้า”

พระองค์พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พระองค์บอกว่าฉันควรกลับไป แต่ฉันปฏิเสธ เพราะชอบสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้ฉันสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันได้อยู่กับแสงสว่าง ได้อยู่กับความรักที่มีอยู่ทั่วพื้นที่ แต่พระองค์ยังคงยืนยันคำเดิม “เจ้าจะได้มาที่แห่งนี้อีกครั้งแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้…เจ้าควรจะกลับไป”

ฉันหันกลับไปมองกลุ่มคนรู้จักของฉัน พวกเขายิ้มแย้มและพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพระองค์ ทันใดนั้น เหมือนมีแรงบางอย่างดึงดูดวิญญาณฉันกลับลงมา ฉันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ และใช้เวลาเพียงไม่นานนักทุกอย่างก็ดูสงบนิ่ง จากนั้นฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาสัมผัสกับความอ่อนนุ่มของที่นอน พร้อมกับมองเห็นภาพเดิมอีกครั้ง ภาพที่มองเห็นแต่ “สีดำ” เท่านั้น!!!

เฮเลน เคลเลอร์ นักเขียนตาบอดหญิงชาวอเมริกา เคยพูดว่า “สำหรับคนทั่วไป ความตายไม่ได้มากมายไปกว่าการย้ายจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง”

…แต่สำหรับฉันมันแตกต่าง เพราะในอีกห้องหนึ่งนั้นฉันสามารถมองเห็นได้

facebooktwittergoogle_pluspinterest

ตายแล้ว...ไปไหน? (1 กันยายน 2558)

ตายแล้ว…ไปไหน?

03

มีคนจำนวนไม่น้อยสงสัยกันว่า คนเราตายแล้วไปเกิดใหม่หรือไม่ หากเกิดใหม่ จะไปเกิดที่ใด 

บางศาสนาที่เป็นเทวนิยม เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้ลิขิตชีวิตคน เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม เชื่อว่า เมื่อคนตายไปแล้วยังไม่ไปเกิด วิญญาณจะถูกพักไว้ และจะคืนชีพอีกครั้งในวันพิพากษา เพื่อให้พระเจ้าตัดสินว่าวิญญาณดวงนั้นจะไปนรกหรือสวรรค์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเมตตาและความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าของบุคคลนั้น

สำหรับศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ซึ่งเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและลิขิตชีวิตคน เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วจะไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรม หมดกรรมเมื่อใด (บำเพ็ญตบะ) ก็จะไปอยู่ร่วมกับพระพรหมบนสวรรค์

ส่วนพุทธศาสนาซึ่งมิใช่เทวนิยม พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างโลก หรือเป็นผู้ลิขิตชีวิตของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงสอนให้เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน (หลักปฏิจจสมุปบาท) เช่น ต้นข้าวเป็นเหตุให้เกิดรวงข้าว รวงข้าวเป็นเหตุให้เกิดเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวเป็นเหตุให้เกิดต้นข้าว เป็นวงจรต่อเนื่องกัน หากทำลายเชื้อพันธุ์ที่อยู่ในเมล็ดข้าวเสียต้นข้าว ก็จะไม่เกิดอีก เหมือนทำลายอวิชชาหรือทำลายความไม่รู้อันเนื่องจากตัณหาครอบงำจิต การเกิดก็หมดไป

คนที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใดนั้นขึ้นอยู่กับวาระสุดท้ายของจิต หากขาดใจตายขณะจิตเศร้าหมอง ปฏิสนธิวิญญาณก็จะนำไปเกิดในทุคติภพหรืออบายภูมิ 4 อันมีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน (จิตฺเตสงฺกิลิฏฺเฐฺ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา) หากตอนจะตาย จิตผ่องใส ปฏิสนธิวิญญาณก็จะนำไปเกิดในสุคติภพ อันมีมนุษย์ 1 สวรรค์ 6 ชั้น พรหม 20 ชั้น (จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐฺ สุคติ ปาฏิกงฺขา) หาก จิตหมดกิเลสตัณหา คือจิตของพระอรหันต์ ก็ไม่มีการเกิดอีก

คนตายจะไปเกิดหรือไม่ และไปเกิด ณ ที่ใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของเขา หาใช่มีผู้อื่นมาลิขิตไม่ ใครสร้างเหตุไว้เช่นใดย่อมจะได้รับผลเช่นนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผลสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์

ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (ค.ศ. 1879-1955) จึงยอมรับและกล่าวถึงพุทธศาสนาว่า “ศาสนาในอนาคตควรจะเป็นศาสนาที่เป็นสากล (cosmic religion) โดยไม่ยึดติดกับพระเจ้าหรือกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติอันเคร่งครัด จะต้องเป็นศาสนาที่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่เป็น ธรรมชาติและจิตวิญญาณ ที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งหมดนี้จะหาคำตอบได้จากพุทธศาสนา

“ถ้าจะมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้

“ศาสนานั้นน่าจะเป็นพุทธศาสนา”

[The religion in the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual, as a meaningful unity Buddhism answers this description…

If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.]

พระพุทธองค์ตรัสว่า (สัตว์) โลก ถูกจิตนำไป (จิตฺเตน นียติ โลโก) หมายความว่า จิตเป็นผู้นำพาชีวิตไป ดังจะเห็นว่าความคิดนำไปสู่คำพูดและการการทำ คนเราจะสุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละคน ธรรมชาติของจิตนั้นคิดได้สารพัดอย่าง ทั้งในทางที่ดีและชั่ว คิดถึงสิ่งใดก็นำพาชีวิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น นอกจากนี้จิตยังเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกได้เร็วมาก แค่แวบเดียวเท่านั้นก็เปลี่ยนอารมณ์ จากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

ดังนั้นเวลาจะสิ้นใจอันเป็นการเปลี่ยนภพใหม่ หากจิตมีความ ผ่องใส หรือมีความสงบ คิดถึงสิ่งดี ๆ ในชีวิต เป็นต้นว่าบุญกุศล หรือเอาใจยึดมั่นอยู่กับพระรัตนตรัย หรือพระเจ้า (สำหรับผู้นับถือศาสนาอื่น) หรือสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น จิตผ่องใส เช่นนี้ เมื่อออกจากร่าง ปฏิสนธิวิญญาณ ก็จะนำไปเกิดในสุคติภพ อย่างน้อยก็กลับมาเกิดเป็นคน ถ้าเป็นผู้มีศีลอยู่เป็นนิจ มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) ก็จะเกิดบนสวรรค์ ถ้าเข้าสมาธิระดับลึกคือฌาน ก็จะเกิดบนพรหมโลกตามคุณสมบัติของจิต โดยไม่เกี่ยวกับการนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย

แต่ถ้าตอนจะสิ้นใจ จิตเศร้าหมอง เช่น ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด กลัวตาย ว้าวุ่นสับสน หงุดหงิด ขุ่นเคือง โกรธ อารมณ์เสียกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือห่วงบุคคลอันเป็นที่รัก ห่วงสมบัติวัตถุ หน้าที่การงานต่าง ๆ คิดถึงสิ่งที่ไม่ดี หรือเห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่นที่ไม่ดีเข้ามา เป็นต้น จิตเศร้าหมองเช่นนี้ ปฏิสนธิวิญญาณจะนำไปเกิดในอบายภูมิ เป็นเช่นนี้กับทุก ๆ ชีวิต เท่ากับว่าแต่ละคนเป็นผู้เลือกเกิดเอง ลิขิตชีวิตของตนด้วยการกระทำของตนเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลองคิดดูเถิดว่า โอกาสที่คนใกล้ตายจะมีจิตผ่องใสกับจิตเศร้าหมองนั้น อย่างไหนจะมากกว่ากัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะเป็นของยากยิ่ง (กิจฺโฉมนุสฺสปฏิลาโภ) ที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้น เป็นเพราะสัตว์โลกในภพภูมิต่าง ๆ เวียนว่ายตายเกิดถ่ายเทกัน สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้

ถามว่า การทำทาน รักษาศีลช่วยปิดประตูอบายภูมิ (ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ) ได้หรือไม่

ตอบว่ายังไม่ได้ เพราะ ทาน และ ศีล ยังไม่ใช่หลักประกันว่าตอนใกล้ตายจิตจะไม่เศร้าหมอง หลักประกันที่จะปิดประตูอบายภูมิได้ จะต้อง ภาวนา หรือปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานจนเป็น พระอริยบุคคล คือถ้าเป็น พระโสดาบัน และ พระสกทาคามี จิตเข้าทางตรงแล้วจะตายอย่างไม่หลงไปในอารมณ์เศร้าหมอง ชาติต่อไปจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดบนสวรรค์ เจริญภาวนาอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็น พระอนาคามี จะไปเกิดบนพรหมโลก เรียกว่าสุทธาวาสพรหม (พรหมชั้นที่ 12-16) และจะไปบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ที่นั่น ถ้าเป็น พระอรหันต์ ก็ไม่มีการเกิดอีก

ถามว่า บางคนอุตส่าห์ทำความดีไว้ตั้งมากมาย เช่น ทำทาน รักษาศีล บาป อกุศลก็เคยทำบ้าง แต่ไม่มากนัก ตอนตายเกิดพลาดพลั้งจิตมีอารมณ์เศร้าหมองพาไปเกิดในอบายภูมิ อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม

ความจริงแล้วกฎธรรมชาติให้ความเป็นธรรมอยู่เสมอ เขาไปเกิดในอบายภูมิ เป็นเพราะจิตที่เป็นอกุศลในขณะนั้นนำไปเกิด ไม่ได้มีใครลิขิต หากทำบุญกุศลไว้มาก ผลบุญจะตามไปอุปการะช่วยให้ทุคติภพที่ไปเกิดสั้นลง เช่น ไปตกนรกไม่นาน ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน หากสมัยเป็นคนเคยทำทานไว้มาก ก็จะไม่อดอยาก บางทีมีคนนำไปเลี้ยงดูอย่างดี หากสมัยเป็นคนเคยรักษาศีลมาดี ก็จะเป็นสัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีสัตว์อื่นหรือคนมาเบียดเบียน หากสมัยเป็นคนเป็นผู้ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด ก็จะเป็นสัตว์ที่ฉลาด เป็นต้น

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ว่าด้วยความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้ว ก็นำสิ่งที่รู้มาแสดง ชี้ทางให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติ หากต้องการความสำเร็จ ก็ต้องหมั่นเพียรทำเอาเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ พุทธศาสนาได้ทำลายเครื่องจองจำความคิดของมนุษย์ที่ถูกสอนให้เชื่อมาแต่โบราณว่ามีอำนาจพิเศษที่ลิขิตชีวิตของตน จึงวิงวอนร้องขอต่ออำนาจนั้น โดยขาดความเชื่อมั่นในคุณค่าของตน ทำให้ไม่ขวนขวายที่จะพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง

หากเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมและไม่ได้นำสิ่งที่มีค่ามาปฏิบัติ

การเป็นชาวพุทธก็ว่างเปล่า


วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

เรียบเรียงโดย ดร.เจตน์ คงด้วง
1) ***การเดินจงกรม***
- ก่อนเดินให้ยกมือมาข้างหน้า
มือขวาทับมือซ้าย-ยกหนอ มาหนอ วางหนอ
หรือยกมือไขว้หลังมือขวาจับข้อมือซ้ายวางไว้ตรงกระเบนเหน็บ
- ระหว่างการเดินจะมีการพูด
ยืนหนอ...
อยากเดินหนอ...
อยากกลับหนอ... 
กลับหนอ1-กลับหนอ8 โดยการหมุนทางขวา
อยากนั่งหนอ...
นั่งหนอ มี 4 จังหวะ
คิดหนอ...-รู้เท่าทัน
การเดินจงกรมมี 6 ระยะคือ
1 จังหวะ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
(ขวา...ย่าง...หนอ... ซ้าย...ย่าง...หนอ...)
2 จังหวะ ยกหนอ เหยียบหนอ
3 จังหวะ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
4 จังหวะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
5 จังหวะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอถูกหนอ
6 จังหวะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ
ถูกหนอ กดหนอ
- การเจริญสติ ตาเห็นรูป ก็กำหนดไว้ที่ตา เห็นหนอๆๆ หูได้ยินเสียง ก็กำหนดตั้งสติไว้ที่หู เสียงหนอๆๆ หูจมูได้กลิ่น ก็กำหนดตั้งสติไว้ที่จมูก กลิ่นหนอๆๆ ลิ้นได้รส ก็กำหนดตั้งสติไว้ที่ลิ้น รสหนอๆๆ คิดหนอๆๆ รู้หนอๆๆ
2)***การนั่งสมาธิ***
- กระทำต่อจากการเดินจงกรม กำหนดปล่อยมือหนอๆๆๆ ย่อตัวหนอๆๆๆคุกเข่าหนอ... นั่งหนอๆๆ
- วิธีนั่ง ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สดือที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ หรือ พุทธ หรือ สัมมา หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ หรือ โธ หรือ อาระหัง
- เมื่อมีเวทนา ต้องมีความอดทน ขาดความอดทนแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ล้มเหลว เมื่อเกิดเวทนาใช้สติกำหนดตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆๆๆ เจ็บหนอๆๆๆ เมื่อยหนอๆๆๆ คันหนอๆๆๆ
- จิต เวลาเดินหรือนั่ง ถ้าจิตคิดถึงบ้านหรือคิดฟุ้งซ่านต่างๆนานา ก็กำหนดว่า คิดหนอๆๆๆไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะหยุดคิด มีอารมณ์ดีใจ เสียใจ หนือโกรธ ก็กำหนดว่า ดีใจหนอๆๆๆ
เสียใจหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ
- อริยาบถต่างๆ ก็สามารถใช้สติมากำกับได้ ทุกขณะอาการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง คือมีสติสัมปชัญญะเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา โดยการเติมท้ายว่า หนอๆๆๆ เช่น อาบน้ำหนอๆๆๆ
- เวลานอน ค่อยๆเอนตัวหนอน พร้อมทั้งกำหนดว่า นอนหนอๆๆๆ จนนอนเรียบร้อยแล้ว
เอาสติมาจับที่ท้อง แล้วกำหนดว่า เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ หรือ พุทธ หรือ สัมมา หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ หรือ โธ หรือ อาระหัง แล้วแต่จริตของแต่ละคนที่ชอบหรือฝึกมา
- หลักการเดิน และนั่ง ควรแบ่งเวลาให้เท่าๆกัน เช่น เดิน 15 นาที ก็นั่ง 15 นาที เดิน 1 ชั่วโมง ก็นั่ง 1 ชั่วโมง หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของผู้ปฏิบัติธรรม
- วิปัสสนาจะทำให้จิตผ่องใส จิตสงบ เป็นการผักผ่อนใจ
- ดูอาการหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ เป็นการพิจารณากาย
- อานิสงส์ของการเดินจงกรม
1) ย่อมอดทนต่อการเดินทางไกล จะไม่เหนื่อย
2)ย่อมอดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
3) ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคจะหายไปเลย
4) อาหารจะย่อยง่าย ไปเลี้ยงร่างกายสะดวกสบาย
5) สมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรม จะตั้งได้นานกว่านี้ ขณะนั่งจิตจะมีสมาธิเร็วขึ้น